วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

โรคร้ายที่มากับฤดูฝนที่ต้องเฝ้าระวัง

                 
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศว่า ในปีนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม และจะสิ้นสุดกลางเดือน ตุลาคม 2563 ดังนั้น พวกเราต้องเตรียมรับมือกับโรคติดต่อที่มากับฤดูฝนในช่วงดังกล่าว นอกจากโรคโควิด -19 ซึ่งเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ และระบาดไปทั่วโลก  ในฤดูฝนจะมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ มีความชื้นสูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว กลุ่มโรคติดต่อที่สำคัญที่มากับฤดูฝนเหล่านี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ หรือรักษาไม่ทัน อาจเสี่ยงมีอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเราควรเฝ้าระวัง และดูแลสุขภาพตนเองให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อเหล่านี้

กลุ่มโรคติดต่อที่มากับฤดูฝนที่ต้องเฝ้าระวัง มี 5 กลุ่ม ดังนี้
1.  กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ H1N1 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ [ที่เคยระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งแรก เมื่อปี 2552]  ที่ขณะนี้พบการระบาดทั่วประเทศ และโรคไข้หวัดนกที่มีแหล่งแพร่ระบาดมาจากสัตว์ปีก เชื้ออาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนที่อยู่ในช่วงระบาดในฤดูฝนได้
2.  กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ โรคเหล่านี้เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร ที่ลำไส้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาจมีไข้ ปวดบิดในท้อง และหากติดเชื้อบิดอาจมีมูกหรือเลือดปนอุจจาระได้ นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ และบี (Hepatitis A and B) ยังสามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ ผู้ที่มีอาการตับอักเสบจะมีไข้ อ่อนเพลีย มีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองหรือดีซ่าน คลื่นไส้อาเจียน 
3.  กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 4 โรค ได้แก่ 1. ไข้เลือดออก (Dengue) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค วางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยระยะแรกจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูกมาก ไข้จะสูงอยู่ประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นไข้จะลง พร้อมกับอาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ มือเท้าเย็น หรือช็อคได้  2. โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน ตาแดง มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคันร่วมด้วย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคือ อาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ 3. ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรคมักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนา ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน หลังจากนั้นจะมีอาการซึมลงหรือชักได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต หรือพิการหากไม่ได้รับการรักษา 4. โรคมาลาเรีย (Malaria) มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูงหนาวสั่น ซีดลง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ถ้าเป็นชนิดรุนแรงอาจมีอาการไตวาย ตับอักเสบ ปอดผิดปกติ และอาจมีความผิดปกติทางสมองที่เรียกว่า มาลาเรียขึ้นสมองได้
4.  กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อย คือ โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือไข้ฉี่หนู อาการที่สำคัญ คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง ประมาณร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการรุนแรง เช่น ดีซ่าน ไตวาย หรือช็อคได้ โรคนี้มักเป็นเกิดในที่ที่มีน้ำท่วม ผู้ที่บ้านมีหนูมาก เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน คนงานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา ผู้ที่ทำงานขุดท่อระบายน้ำ เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น
5.   โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา  ส่งผลให้เกิดอาการตาแดง คันตา เคืองตา รวมถึงมีอาการปวดเบ้าตา โดยจะรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ภายดวงตา ทำให้เกิดน้ำตาไหล และเปลือกตาบวม  รวมถึงมีตุ่มขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป
นอกจากกลุ่มโรคติดต่อดังกล่าวแล้ว ในช่วงฤดูฝนต้องระวังอีก 2 เรื่องที่สำคัญ คือ
1.      โรคน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนาน ๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก
2.      อันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน
จะเห็นได้ว่าโรคที่มากับฤดูฝนนั้นมีมากมาย จึงต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ที่สำคัญ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นก็ไม่ควรซื้อยากินเอง และสิ่งที่ต้องระวัง คือ การรับประทานยาลดไข้ เช่น ห้ามกินยาในกลุ่มแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคฉี่หนู  ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น ทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ โรคที่มากับฤดูฝน เช่น ไข้หวัดใหญ่ และ ไข้เลือดออก อาจมีอาการใกล้เคียงกับโรคโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า ต้องสังเกตอาการตัวเองให้ดี อย่าตื่นตระหนก สำหรับกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน การป้องกันโรคไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ คือ สวมหน้ากากผ้า/อนามัย กินร้อน หรือ อาหารปรุงสุกใหม่ แยกสำรับอาหารและของใช้ส่วนตัว ห้ามนำมือสัมผ้สบริเวณหน้า ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด ส่วนวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก คือ ทายากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใช้หลัก 3 เก็บ คือ เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ

2 ความคิดเห็น:

  1. บทความดีมีประโยชน์ได้ความรู้ทราบแนวทางปฏิบัติเมื่อมีอาการของโรคคะถ้าเพิ่มรูปประกอบจะน่าสนใจขึ้นคะ ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำแนะนำดีดีค่ะ

    ตอบลบ