วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อะไรคือความเหมือนและความต่างของไข้หวัดใหญ่และโควิด-19

      ในช่วงนี้ อากาศในประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศไว้ ดังนั้นเราต้องดูแลตนเองไม่ให้เจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมักมีการระบาดในฤดูหนาว จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 24 ตุลาคม 2563 มีผู้ป่วยจำนวน 113,713 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 171.03 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 4 ราย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ปีย้อนหลัง พบว่าจำนวนผู้ป่วยลดลง เนื่องจากความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจเช่นเดียวกัน โดยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย  เว้นระยะห่าง แยกของใช้ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ก็ยังระบาดหนักวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ 49,093,464 คน และมียอดสะสมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,240,682 คน ขณะที่ไทยติดเชื้อสะสมที่ 3,818 คน แม้ว่าขณะนี้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนน้อยในไทย แต่ความรุนแรงและอัตราเสียชีวิตของโรคโควิด-19 มากกว่า โรคไข้หวัดใหญ่ และอาการของ 2 โรคนี้จะคล้ายๆกัน ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวนี้ หลายคนพอเริ่มมีอาการเจ็บป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ อาจจะกังวลว่าเป็น ไข้หวัดใหญ่ หรือเป็น โควิด-19  กันแน่ ดังนั้น เรามาเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 กันเลยค่ะ

เชื้อก่อโรค

ความเหมือน:   เป็นไวรัสที่ก่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

ความแตกต่าง:  โรคโควิด-เกิดจากเชื้อ โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ SAR-CoV-2     ส่วนไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อ อินฟูเอนซาไวรัส ส่วนโรค โควิด-19 เกิดจาก ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งทำให้มีอาการปอดอักเสบรุนแรงได้ โดยเป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์

อาการป่วย

ความเหมือน:   ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถแสดงอาการได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ (asymptomatic) จนถึงอาการรุนแรง (severe symptoms) สำหรับอาการทั่วไปที่พบได้ในทั้งสองโรค คือ มีไข้ หรือรู้สึกหนาวสั่น ไอ หายใจถี่ หรือหายใจลำบาก เหนื่อยหรืออ่อนแรง เจ็บคอ คัดจมูก ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ บางคนอาจมีการอาเจียน และท้องเสีย แม้ว่าอาการนี้ปกติจะพบมากในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

ความแตกต่าง:  ผู้ป่วยโรคโควิด-19 บางรายจะมีอาการรุนแรง และอาการสำคัญที่แตกต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่ คือ   การเสียความรู้สีกในการรับรสและได้กลิ่น

จะใช้เวลานานแค่ไหนหลังจากติดเชื้อจึงปรากฏอาการ

ความเหมือน:   ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ หลังจากติดเชื้อ 1 วันหรือมากกว่า สามารถแสดงอาการได้

ความแตกต่าง:  ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะใช้เวลาที่จะแสดงอาการนานกว่าผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยปกติผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะแสดงอาการหลังติดเชื้อ 1-4 วัน ส่วนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะแสดงอาการหลังติดเชื้อ 5 วัน แต่สามารถแสดงอาการได้เร็วเพียง 2 วันหลังติดเชื้อ หรือช้าถึง 14 วันหลังติดเชื้อ

ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อได้เมื่อไร

ความเหมือน:   ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นไปได้ว่าจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ อย่างน้อย 1 วันก่อนแสดงอาการ

ความแตกต่าง:  ผู้ป่วยโรคโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อได้นานกว่าผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้ประมาณ 1 วัน ก่อนแสดงอาการ นอกจากนี้ เด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะแพร่เชื้อระหว่าง  3-4 วันขณะป่วย และยังคงแพร่เชื้อได้จนถึง 7 วัน ส่วนเด็กทารก และผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะติดเชื้อจากผู้ป่วยได้นานกว่า 7 วัน สำหรับโรคโควิด-19 นั้นยังทำการศึกษาวิจัยว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อได้นานเท่าไร เป็นไปได้ว่าสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ประมาณ 2 วันก่อนแสดงอาการ และยังคงแพร่เชื้อได้อย่างน้อย 10 วัน หลังแสดงอาการครั้งแรก ถ้าผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่แสดงอาการ หรืออาการไม่ปรากฏแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า  ยังสามารถแพร่เชื้อได้อย่างน้อย 10 วันหลังทดสอบว่ามีการติดเชื้อ โดวิด-19 ให้ผลบวก

เชื้อไวรัสสามารถติดต่อได้อย่างไร

ความเหมือน: ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากคนสู่คน โดยการใกล้ชิดกัน (ระยะห่างภายใน 6 ฟุต) ส่วนใหญ่แพร่เชื้อโดย ละออง ไอ จาม หรือการพูดคุย ของผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้สามารถติดต่อโดยการสัมผัสมือ (shaking hands) ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ อาจจะแพร่ไปยังผู้อื่นได้ โดยจากผู้ติดเชื้อที่เพิ่งจะเริ่มแสดงอาการ หรือแสดงอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ (asymptomatic)

ความแตกต่าง: แม้ว่าโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ มีวิธีการติดต่อที่คล้ายกัน แต่ โรคโควิด-19 ติดต่อได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 สามารถเกิด superspreading คือทั้งติดต่อไวและติดต่อง่ายกับผู้คนจำนวนมาก ได้มากกว่าไข้หวัดใหญ่ด้วย ซึ่งมีผลทำให้มีการแพร่กระจายของโรคไปได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรง

ความเหมือนผู้ป่วยโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถมีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนได้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์

ความแตกต่าง:  โรคไข้หวัดใหญ่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในเด็กที่มีสุขภาพดี จะสูงกว่า  โรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ทารกและเด็กที่มีโรคประจำตัวมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19  นอกจากนี้เด็กเล็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีความเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะแทรกซ้อนมากกว่าโรคโควิด-19 ส่วนเด็กวัยเรียนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะมีความเสี่ยงสูงที่จะมีกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก แต่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจะไม่ค่อยพบ

                                                        ภาวะแทรกซ้อน

ความเหมือนทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ได้แก่  ปอดอักเสบ ปอดล้มเหลว น้ำท่วมปอด ติดเชื้อทางกระแสโลหิต ไตวาย ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย โรคเรื้อรังแย่ลง เช่น ปอด หัวใจ ระบบประสาท เบาหวาน มีการอักเสบของหัวใจ สมอง หรือกล้ามเนื้อ และสามารถติดเชื้อแบคทีเรียภายหลังได้ง่ายขึ้น (secondary bacterial infections)

ความแตกต่าง:  ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะฟื้นตัวขึ้นภายใน 3-4 วัน หรือน้อยกว่า 2 อาทิตย์ แต่บางรายจะเกิดมีภาวะแทรกซ้อนได้ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น  สำหรับโรคโควิด-19 จะมีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม คือ เลือดแข็งตัวในเส้นเลือดดำ และเส้นเลือดแดงของปอด หัวใจ ขา และสมอง และ กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก

                                                          การรักษา

ความเหมือน: ผู้ป่วยโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่มีความเสี่ยงสูง หรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะได้รับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการและภาวะแทรกซ้อนนั้นๆ 

ความแตกต่าง:  ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคที่ชัดเจน แต่แพทย์จะรักษา โควิด-19 ด้วยการใช้ยา  ต้านไวรัส และยาอื่น ๆ หลายขนาน ทั้งยา remdesivir, chloroquine, lopinavir+ritonavir, interferon ชนิดพ่น,             losartan, แอนติบอดีชนิด monoclonal, พลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโรคนี้ และล่าสุดมียาต้านโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 จากจีนที่ชื่อว่า Favilavir โดยจากการทดลองรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 70 รายในประเทศจีน พบว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา  ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ จะรักษาไปตามอาการ หากไข้สูงให้เช็ดตัวลดไข้ หรือรับประทานยาบรรเทาไข้ นอกจากมีอาการรุนแรง แพทย์จะทำการรักษาไปตามอาการแทรกซ้อนนั้นๆ อย่างไรก็ตามกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ที่รู้จักกันดีก็คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ หรือ ซานามิเวียร์

วัคซีน

ความเหมือนวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคโควิด-19 และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาในระดับนานาชาติ และระดับประเทศเช่นกันจึงสามารถนำมาใช้ได้

ความแตกต่าง:  วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่หลายบริษัท ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ได้มีการผลิตขึ้นทุกปี เพื่อป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3-4 สายพันธุ์ ซึ่งระบาดขึ้นในแต่ละปี     แต่สำหรับโรคโควิด-19  ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคโควิด-19  แต่ขณะนี้หลายๆประเทศกำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19  อย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แม้ประเทศไทยจะมีระบบคัดกรองและกักกันโรคที่ดี    และสถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจาก  ต่างประเทศ แต่คนไทยยังต้องร่วมมือกันคงมาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะ DMHT ที่เป็นวัคซีนที่ดีที่สุด ได้แก่ D : Distancing การเว้นระยะห่าง  M : Mask Wearing สวมหน้ากาก  H : Hand Washing การล้างมือ  และ   T : Testing การตรวจคัดกรองและรักษาอย่างรวดเร็ว จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 ได้ 

แหล่งข้อมูล:

1.       https://onlinelibrary.wiley.com/doi/epdf/10.1002/rmv.2179

2.       https://www.cdc.gov/flu/symptoms/flu-vs-covid19.htm

3.       https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/index.php

4.       https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/453872


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น