เป็นที่ทราบกันดีว่า จากการศึกษาและความเข้าใจในภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆ ทำให้เราสามารถนำความรู้ ความเข้าใจนั้น มาใช้ในการออกแบบวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และยารักษาโรคได้ แต่ในปัจจุบันนี้เราทราบอะไรกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 เพื่อการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 นี้
สำหรับเรื่องวัคซีนนั้น องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration, FDA) ได้ให้เกณฑ์ว่า วัคซีนโควิด-19 ควรจะป้องกันโรคได้ หรืออย่างน้อยก็สามารถลดความรุนแรงของการเกิดโรคได้ ในครึ่งหนึ่ง (50%) ของจำนวนคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน
การพัฒนาวัคซีน ส่วนใหญ่ต้องการให้วัคซีนกระตุ้น
แอนติบอดี (antibody) เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่เซลล์ได้
แต่ ณ ปัจจุบัน จากการศึกษาวิจัยการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยการสร้าง แอนติบอดี
ต่อเชื้อ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค โควิด-19 นี้ เราทราบเพียงว่า
1.
ผู้ป่วยที่หายจากโรคโควิด-19 จะสร้างแอนติบอดี ต่อเชื้อไวรัสนี้ บางส่วนของแอนติบอดีที่สร้างขี้นเป็น
แอนติบอดีที่มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสนี้ได้
โดยการป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ (neutralizing antibodies)
2.
ผู้ป่วยที่หายจากโรคโควิด-19 จะมีจำนวนและชนิดของแอนติบอดีแตกต่างกันในแต่ละคน
จากการศึกษาวิจัยของ Larry Luchsinger และคณะ แห่ง New
York Blood Center โดยใช้น้ำเหลืองผู้ป่วยที่หายจากโรคโควิด-19
แล้ว (convalescent plasma) และพบว่ามีความแตกต่างกันนั้น
ส่วนใหญ่มีระดับแอนติบอดีปานกลาง และประมาณ 16% ไม่มี neutralizing
antibodies แต่ 10% มี neutralizing
antibodies ที่แรงหรือประสิทธิภาพสูง โดยผู้ชายมี neutralizing
antibodies แรงกว่าผู้หญิง 2 เท่า แต่ในเรื่องของอายุ
กลุ่มเลือดหรือเชื้อชาติ ไม่ได้บันทึกไว้
3.
จากการศึกษาของ Davide F. Robbiani และคณะ ที่ตีพิมพ์ใน Nature พบว่า มากกว่า 99%
ของผู้ป่วยมีระดับของ neutralizing antibodies ต่ำ แต่จำนวนของ แอนติบอดีที่จับกับไวรัสได้ (binding
antibodies) พบในผู้ป่วยทุกคน แสดงให้เห็นว่า การสร้าง neutralizing
antibodies ได้นั้น เป็นความสามารถของแต่ละคน (intrinsically
capable)
4.
จากการศึกษาของ Sanjeev Krishna แห่ง St. George’s, University of
London
พบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะสร้างแอนติบอดีได้มากกว่า โดยเฉพาะถ้าเกิดมีการอักเสบ
(inflammation)
มาก แล้ว ระดับแอนติบอดีจะมีแนวโน้มสูง โดยการศึกษาระดับของ
แอนติบอดี (IgG) ต่อเชื้อไวรัสในผู้ป่วย 177 ราย
5.
จากหลายๆการศึกษา พบว่า ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกๆคน จะสร้างแอนติบอดี จากการศีกษาของ
Sanjeev
Krishna และคณะ ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งพบว่า
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ 2-8 % ไม่พบ IgG antibodies
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่สร้างแอนติบอดี
เราก็ยังบอกไม่ได้ว่าแอนติบอดีจะอยู่นานแค่ไหน
และแอนติบอดีเหล่านั้นสามารถป้องกันโรคได้ไหม แต่การศึกษาของ Krishna พบว่าอย่างน้อย
เกือบ 2 เดือนแล้วแอนติบอดียังไม่ลดลง แต่การศึกษาของ Quan-Xin
Long และคณะ
ซี่งตีพิมพ์ใน Nature Medicine ได้ศืกษาในกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ
(asymptomatic people) จำนวน 37 ราย
และผู้ป่วยที่มีอาการ (symptomatic people) จำนวน 37 ราย พบว่า มีการลดลงในระดับของ IgG และ neutralizing
antibodies ภายหลัง 2-3 เดือน (โดยลดลงในกลุ่มผู้ที่ไม่แสดงอาการมากกว่า)
จากการศึกษาดังกล่าว ทำให้ในขณะนี้ นักวิจัยให้ความสนใจไปยัง
ภูมิคุ้มกันชนิดอื่น นอกจาก แอนติบอดี ที่ใช้ในการป้องกันโรค คือ
1.
Helper T cells
ซี่งนักวิจัย พบว่า ผู้ป่วยที่หายจากโรคโควิด-19 มี helper
T cells ซึ่งจดจำ specific proteins บนเชื้อ SARS-CoV-2
2.
T cells อีกชนิด คือ killer T cells ซึ่งเป็น cellular
immune response ที่สำคัญ ซึ่งจะทำหน้าที่ฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อมากกว่า
การป้องกันการติดเชื้อ โดย จากการศึกษาของ
Daniella
Weiskopf และคณะ พบว่า
ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในห้องรักษาพยาบาลผู้ป่วยขั้นวิกฤต (intensive care unit, ICU) พบว่ามี SARS-CoV-2-specific killer T cells และ
ในกลุ่มควบคุมที่มีสุขภาพดี 2 ราย ที่ไม่ได้สัมผัสกับเชื้อ SARS-CoV-2 แต่ยังมี T cells ในระดับต่ำๆ ซึ่งทำปฏิกริยากับ
เชื้อ SARS-CoV-2 ได้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า
สามารถเกิดปฏิกิริยาข้ามกลุ่มได้ (cross-reactivity) เนื่องจากเคยได้รับเชื้อไข้หวัดธรรมดา
(common cold) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา (Corona
viruses) จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า T cells มีความสำคัญมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของ
T
cells เรายังไม่ทราบว่าจะยาวนานแค่ไหน จะมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือไม่ และไวรัสสามารถหลีกหนีภูมิคุ้มกันได้หรือไม่
ณ ปัจจุบัน เรายังไม่ทราบแน่ว่า ภูมิคุ้มกันที่ใช้ในการป้องกัน
(Protective
immunity) คืออะไร ดังนั้น เราจึงไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าจะสร้างหรือกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดไหนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
โดย Poznansky
Center แนะนำว่า
การพัฒนาวัคซีน ควรจะกระตุ้นทั้ง T cells และ
แอนติบอดี และวัคซีนที่จะสำเร็จได้นั้นขึ้นกับ
การศึกษาในทางคลินิก (clinical
study) เป็นสำคัญ
จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการศึกษาวิจัย
วัคซีนโรคเอดส์ นั้น จะมีรูปแบบคล้ายกับการศึกษาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยจะต้องพัฒนาวัคซีนที่กระตุ้นทั้ง
T cells และ แอนติบอดี สำหรับแอนติบอดีที่เป็น functional
antibodies คือ neutralizing
antibodies เช่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละคนก็สร้าง neutralizing
antibodies ที่มีความแรงไม่เท่ากัน และจำนวนไม่เท่ากันด้วย อีกทั้งมีการสร้าง
neutralizing antibodies ต่างชนิดกัน ต่อ epitopes ที่ต่างกันของ ไวรัส ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ต่างกัน ดังนั้นคงต้องพิจารณา
หรือศึกษาด้านวิทยาภูมิคุ้มกันเพื่อให้มีความรู้พื้นฐานมากยิ่งขึ้นสำหรับโรคโควิด-19
นี้ ในการนำไปใช้พัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งๆขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม วัคซีนโควิด-19 มีความต้องการเร่งด่วน จึงต้องมีการพัฒนา
ปรับปรุง ควบคู่กับการศึกษาด้านวิทยาภูมิคุ้มกันนี้
แหล่งข้อมูล:
ขอบคุณบทความที่มีประโยชน์ให้ความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีคะ เห็นว่าโรคโควิด19 เป็นโรคอุบัติใหม่คงต้องใช้เวลานานในการศึกษาและวิจัยพัฒนาที่ใช้วัคซีนเพื่อให้ได้ผลดีกับคน ขอให้ผู้วิจัยวัคซีนค้นพบวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 ได้สำเร็จคะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ ที่สนใจในบทความนี้ ซึ่งค่อนข้างเป็นวิชาการมากนะคะ แต่อยากให้นักวิชาการได้ทราบด้วยค่ะ ว่างานวิจัยที่ประเทศต่างๆศึกษานั้น ได้คันพบอะไรบ้างค่ะ
ลบขอบคุณครับ review ได้ดีมากครับ neutralizing Ab ที่ป้องกันไวรัสเข้า host cell ก็ยังไม่ตอบการป้องกัน และนำมาเป็น protective Ab ไม่ได้ เราเข้าใจกันอยู่แล้วว่า ไม่ใช่ทุกโรคจะมีวัคซีนในการป้องกันการระบาดของโรค ดังนั้นการพัฒนายารักษาโรคก็ควรดำเนินการไปด้วยกันครับ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ เห็นด้วยนะคะ นอกจากวัคซีน เราต้องพัฒนายาไปด้วยกัน เนื่องจาก วัคซีนป้องกันโรคบางโรค 30 ปี ยังไม่สำเร็จเลยค่ะ
ตอบลบ