วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Travel Bubble การท่องเที่ยวแนวใหม่ในยุคโควิด



              ในยุคโควิดนี้ เราคงได้ยินแต่คำว่า Lockdown หรือ การปิดประเทศ ปิดเมือง  ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้ในการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงการจำกัดการเดินทาง การยกเลิกกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ ไปจนถีงการกักตัวเองภายในบ้านพัก สำหรับการท่องเที่ยว คงไม่ต้องพูดถึง แต่หลังจากที่หลายๆประเทศ สามารถควบคุมและจัดการกับโควิดได้ แนวคิดในการเดินทางระหว่างประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ หรือระหว่างประเทศพันธมิตรซึ่งถือว่าประเทศนั้นๆ มีความปลอดภัย เพื่อฟื้นฟูธุรกิจการค้า ในชั้นต้น จึงเกิดขึ้น เรียกว่า Travel Bubble

Travel Bubble คืออะไร?
Travel Bubles หรือ Travel Bridges หรือ Corona Corridors คือ การที่กลุ่มประเทศ หรือประเทศพันธมิตรทางการท่องเที่ยวนั้นตกลงที่จะเปิดประเทศให้แก่กันและกัน เพื่อที่จะให้ผู้นั้นสามารถเดินทางไปในอีกประเทศหนึ่งได้ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน เปิดให้เฉพาะประเทศพันธมิตรเท่านั้น และประเทศพันธมิตรเหล่านี้สามารถเดินทางภายในกลุ่ม (Bubble) ได้ ซึ่งทาง Per Block นักวิจัยจาก Oxford ก็ได้เผยว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ “ทั้งสองประเทศนั้นจะต้องไม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเลย” รวมถึงจะต้องไม่อนุญาติประเทศอื่น ๆ เข้ามาอีกด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้คนสามารถเดินทางและกักตัวได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้นและยังปลอดภัย รวมถึงการทำ Travel Bubble นั้นอนุญาติให้คนแต่ละประเทศนั้นสามารถเดินทางได้ ซึ่งก็หมายความว่าการทำเช่นนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ประเทศที่เริ่มนำแนวคิดท่องเที่ยวแบบ Travel Bubble มาใช้
ประเทศที่เป็นผู้เริ่มสนใจแนวคิดนี้ คือประเทศ นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย โดยทั้งสองเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กัน ไปมาหาสู่กันเป็นปกติอยู่แล้ว การเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า และทั้งสองประเทศสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ มาตรการ Travel Bubble ของออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์นั้น จะสามารถเดินทางไปมาหากันได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่จะต้องแสดงประวัติทางด้านสุขภาพของตนเองว่าไม่ป่วยด้วยโควิด-19 ซึ่งนี่เป็นเพียงการเตรียมการเบื้องต้น เพราะจะใช้จริงในเดือนกันยายน นอกจากนี้ ยังมีหลายกลุ่มประเทศที่จะร่วมมือกัน เช่น
1.      จีน-สิงคโปร์ โดยจะเริ่มในวันที่ 8 มิถุนายน 2563 นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายการเดินทางแบบค่อยเป็นค่อยไป และเพื่อฟื้นฟูการค้า และผู้ที่เดินทางของทั้งสองฝ่ายจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักกันตัว 14 วัน แต่ต้องยอมที่จะเข้ารับการทดสอบซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง และหากพบว่ามีการติดเชื้อเมื่อลงเครื่องที่สิงคโปร์หรือจีน ก็จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเองเช่นกัน โดย สิงคโปร์จะเริ่มต้นกับกลุ่มธุรกิจ 6 เมืองในจีน คือ เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ฉงชิ่ง กว่างตง เจียงซู และเจ้อเจียง
2.      ประเทศในกลุ่มทะเลบอลติก: เอสโตเนีย แลตเวีย และลิทัวเนีย เดินทางได้โดยไม่กักตัว
3.      ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย: เดนมาร์ก เยอรมนี นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ยกเว้นสวีเดนที่ยังเกิดการระบาดอยู่ (เริ่ม 15 มิ.ย.63)
4.      เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ (เริ่ม 15 มิ.ย.63)
5.      แคนาดา สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน เวียดนาม และเกาหลีใต้
6.      จีน-เกาหลีใต้, จีน-ไต้หวัน, จีน-ฮ่องกง, จีน-มาเก๊า
7.      สาธารณรัฐเชค ออสเตรีย สโลวาเกีย โครเอเชีย 

แนวโน้มที่ไทยจะใช้ Travel Bubble
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถือว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย และขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในการผ่อนปรนมาตราการระยะที่ 3 ให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงกลับมาเปิดบริการได้ (เริ่ม 1 มิ.ย.63) แสดงถึง ไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าได้ดี และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การผ่อนปรนระยะที่ 4 (ให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเปิดบริการได้) ในระยะต่อมา จากการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นผู้ติดเชื้อที่เข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้น การทำ Travel Bubble ของไทยจึงอยู่ในขั้นตอนการหารือ คาดว่าจะเริ่มได้ในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ เราสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่าลืมป้องกันตัวเองตามชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ด้วยนะคะ

      แหล่งข้อมูล:

      2. https://www.wonderfulpackage.com/article/v/1306/
      3. https://www.thebangkokinsight.com/371976/

2 ความคิดเห็น:

  1. บทความน่าสนใจมากคะ Travel bubble มีหลายประเทศเริ่มใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เวลาเดินทางนักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัยขึ้นคะ ติดตามบทความได้ประโยชน์มีสาระดีๆต่อไปคะ

    ตอบลบ
  2. ดีใจค่ะ ที่สนใจและติดตามบทความมาตลอดนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ