ในยุคโควิดนี้ เราคงได้ยินแต่คำว่า Lockdown หรือ การปิดประเทศ ปิดเมือง ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้ในการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
รวมถึงการจำกัดการเดินทาง การยกเลิกกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ ไปจนถีงการกักตัวเองภายในบ้านพัก สำหรับการท่องเที่ยว
คงไม่ต้องพูดถึง แต่หลังจากที่หลายๆประเทศ สามารถควบคุมและจัดการกับโควิดได้ แนวคิดในการเดินทางระหว่างประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19
ได้ หรือระหว่างประเทศพันธมิตรซึ่งถือว่าประเทศนั้นๆ มีความปลอดภัย เพื่อฟื้นฟูธุรกิจการค้า
ในชั้นต้น จึงเกิดขึ้น เรียกว่า Travel Bubble
Travel Bubble คืออะไร?
Travel
Bubles หรือ Travel Bridges หรือ Corona
Corridors คือ การที่กลุ่มประเทศ หรือประเทศพันธมิตรทางการท่องเที่ยวนั้นตกลงที่จะเปิดประเทศให้แก่กันและกัน
เพื่อที่จะให้ผู้นั้นสามารถเดินทางไปในอีกประเทศหนึ่งได้ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน เปิดให้เฉพาะประเทศพันธมิตรเท่านั้น
และประเทศพันธมิตรเหล่านี้สามารถเดินทางภายในกลุ่ม (Bubble)
ได้ ซึ่งทาง
Per Block นักวิจัยจาก Oxford ก็ได้เผยว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ
“ทั้งสองประเทศนั้นจะต้องไม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเลย”
รวมถึงจะต้องไม่อนุญาติประเทศอื่น ๆ เข้ามาอีกด้วย
ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้คนสามารถเดินทางและกักตัวได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้นและยังปลอดภัย
รวมถึงการทำ Travel Bubble นั้นอนุญาติให้คนแต่ละประเทศนั้นสามารถเดินทางได้
ซึ่งก็หมายความว่าการทำเช่นนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ประเทศที่เริ่มนำแนวคิดท่องเที่ยวแบบ Travel Bubble มาใช้
ประเทศที่เป็นผู้เริ่มสนใจแนวคิดนี้
คือประเทศ นิวซีแลนด์
และ ออสเตรเลีย โดยทั้งสองเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กัน
ไปมาหาสู่กันเป็นปกติอยู่แล้ว การเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า และทั้งสองประเทศสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19
ได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ มาตรการ Travel
Bubble ของออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์นั้น
จะสามารถเดินทางไปมาหากันได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่จะต้องแสดงประวัติทางด้านสุขภาพของตนเองว่าไม่ป่วยด้วยโควิด-19 ซึ่งนี่เป็นเพียงการเตรียมการเบื้องต้น
เพราะจะใช้จริงในเดือนกันยายน นอกจากนี้ ยังมีหลายกลุ่มประเทศที่จะร่วมมือกัน เช่น
1.
จีน-สิงคโปร์ โดยจะเริ่มในวันที่ 8
มิถุนายน 2563 นี้
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายการเดินทางแบบค่อยเป็นค่อยไป และเพื่อฟื้นฟูการค้า
และผู้ที่เดินทางของทั้งสองฝ่ายจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักกันตัว
14 วัน
แต่ต้องยอมที่จะเข้ารับการทดสอบซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง
และหากพบว่ามีการติดเชื้อเมื่อลงเครื่องที่สิงคโปร์หรือจีน
ก็จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเองเช่นกัน
โดย สิงคโปร์จะเริ่มต้นกับกลุ่มธุรกิจ 6 เมืองในจีน
คือ เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ฉงชิ่ง กว่างตง เจียงซู และเจ้อเจียง
2.
ประเทศในกลุ่มทะเลบอลติก: เอสโตเนีย แลตเวีย และลิทัวเนีย เดินทางได้โดยไม่กักตัว
3.
ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย: เดนมาร์ก เยอรมนี นอร์เวย์ ฟินแลนด์
ยกเว้นสวีเดนที่ยังเกิดการระบาดอยู่ (เริ่ม 15 มิ.ย.63)
4.
เยอรมนี
ฝรั่งเศส ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ (เริ่ม 15 มิ.ย.63)
5.
แคนาดา
สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน เวียดนาม และเกาหลีใต้
6.
จีน-เกาหลีใต้, จีน-ไต้หวัน, จีน-ฮ่องกง, จีน-มาเก๊า
7.
สาธารณรัฐเชค
ออสเตรีย สโลวาเกีย โครเอเชีย
แนวโน้มที่ไทยจะใช้ Travel Bubble
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถือว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
และขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในการผ่อนปรนมาตราการระยะที่ 3 ให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงกลับมาเปิดบริการได้ (เริ่ม 1 มิ.ย.63)
แสดงถึง ไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าได้ดี
และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การผ่อนปรนระยะที่ 4 (ให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเปิดบริการได้) ในระยะต่อมา จากการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน
ทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นผู้ติดเชื้อที่เข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้น การทำ Travel Bubble ของไทยจึงอยู่ในขั้นตอนการหารือ
คาดว่าจะเริ่มได้ในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้
เราสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่าลืมป้องกันตัวเองตามชีวิตวิถีใหม่
(New Normal) ด้วยนะคะ
แหล่งข้อมูล:
2. https://www.wonderfulpackage.com/article/v/1306/
3. https://www.thebangkokinsight.com/371976/
บทความน่าสนใจมากคะ Travel bubble มีหลายประเทศเริ่มใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เวลาเดินทางนักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัยขึ้นคะ ติดตามบทความได้ประโยชน์มีสาระดีๆต่อไปคะ
ตอบลบดีใจค่ะ ที่สนใจและติดตามบทความมาตลอดนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบ