วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คำว่า เปิดวาร์ป (Warp) ได้ยินมานาน ความหมายคืออะไร?


          วันนี้  ขอพูดถึงคำศัพท์ที่ได้ยินกันบ่อยๆ ในสังคมออนไลน์ คือ เปิดวาร์ป (Warp) คิดว่าผู้อ่านหลายท่านเคยได้ยิน แต่ยังไม่ทราบถึงที่มาและความหมายของคำนี้ คำนี้เป็นภาษาอังกฤษ วัยรุ่นและสังคมออนไลน์ของไทยนำมาใช้ แต่ความหมายที่คนไทยเข้าใจกัน คนต่างชาติจะไม่เข้าใจตรงกับเรา มาดูกันค่ะ

ที่มาและความหมายของ คำว่า วาร์ป (Warp)  
คำว่า วาร์ป (Warp) เป็นภาษาอังกฤษ  อ่านว่า วอร์ป (เป็นข้อยกเว้นของเจ้าของภาษาในการอ่าน ไม่เหมือน Harp แปลว่า พิณ อ่านว่า ฮาร์ป ซึ่งเป็นการออกเสียงแบบปกติ)   เป็นวลีของคนไทยที่ใช้คำนี้แล้วอ่านว่า วาร์ป (Warp) คำนี้ ภาษาอังกฤษ แปลว่า ความบิดเบี้ยว,ความโค้ง,ความวิปริต,ความแปรปรวน และมีมาตั้งแต่สมัยยุคอังกฤษเก่าและเคยแปลว่า โยน เดิมใช้กับการทอผ้า หมายถึง เส้นด้ายที่เรียงตามความยาวในหูกทอผ้า (หรือที่เรียกว่า ด้ายยืน)
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยืมคำนี้ไปใช้อธิบายการบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศ (space-time warp) และให้ความหมายของการวาร์ป คือ การหายตัวจากที่หนึ่งแล้วไปโผล่ยังอีกที่หนึ่งได้ในเวลาพริบตา ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นได้ทั้งจากในเกมและในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง เช่นเรื่อง Star Trek ที่ใช้ยานอวกาศขับเคลื่อนด้วยการวาร์ป ซึ่งหลักการนี้มีพื้นฐานมาจากทฤษฏีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แต่ไอน์สไตน์เองก็ระบุไว้ว่าการเดินทางที่เร็วกว่าแสงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ล่าสุดนักวิจัยขององค์การนาซา เผยว่า มีความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเดินทางด้วยความเร็วสูงกว่าแสงและ วาร์ปไปยังที่ต่างๆ ได้ในเวลาพริบตาจริงๆ ดร.ฮาโรลด์ ไวต์ นักวิจัยขององค์การนาซา จากศูนย์อวกาศลินดอน บี จอห์นสัน เผยว่ามีความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเดินทางด้วยความเร็วสูงกว่าแสงและวาร์ปไปยังที่ต่างๆ ได้ในเวลาพริบตาจริงๆ ด้วยการพยายามพิสูจน์ทฤษฎีของนักฟิสิกส์ชาวเม็กซิกันอย่างมิเกล อัลคับเบียร์ที่เสนอว่าความเร็วเหนือแสงนั้นเป็นไปได้ หากเราค้นพบวิธีที่จะควบคุมการขยายและการหดตัวของ Space Time หรือ กาลอวกาศ
สำหรับในโลกออนไลน์ หมายถึง การเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่มีจุดหมายและต้องการจะไปหาสิ่งที่ต้องการ หรือ การส่องดูรูป ดูโปรไฟล์ของคนอื่น ในเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม หรือในโซเชียลมีเดีย ดังนั้นการเปิดวาร์ป คือการเปิด หรือให้ที่อยู่เฟสบุ๊ค หรือ การเปิดลิงค์เว็บไซต์ เป็นต้น ปัจจุบัน เราจะเห็นได้อย่างกว้างขวางในการใช้คำนี้ ตัวอย่าง เช่น พาเปิดวาร์ปส่องบรรยากาศ งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ซึ่งหมายถีง พาไปชม และ ล่าสุด เพจดังเปิดวาร์ป คุณหมอบุ๋ม งานนี้หนุ่มๆต่างอกหักกันเป็นแถว – คมชัดลึก  การเริ่มปฏิบัติงานวันแรกของ หมอบุ๋ม พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ในฐานะผู้ช่วยโฆษก ศบค.จนกลายเป็นที่สนใจของประชาชนไม่น้อย เป็นอีกตัวอย่างที่นำวลีนี้มาใช้ ในสังคมออนไลน์ จะมีวลีใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ เราพร้อมที่จะติดตามไปด้วยกันค่ะ
แหล่งข้อมูล:

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Social Distancing เคยใช้เป็นมาตรการลดการระบาดของโรคที่ได้ผลตั้งแต่เมื่อไร?



           ในยุคโควิด-19 คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราไม่รู้จัก Social Distancing หรือ การเว้นระยะห่างทางสังคม  คำนี้ต้องใช้ให้ถูกต้อง ซึ่งต่างจาก Social Distance ที่หมายถึง การวัดความห่างหรือความแตกต่างระหว่างกลุ่มต่างๆในสังคม เช่น ชนชั้น, ภาษา, เชื้อชาติ และ เพศ ซึ่งมักจะไม่เท่าเทียมกัน หรือแตกต่างกัน แต่ Social Distancing คือ การลดการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างตนเองและผู้อื่น เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคติดต่อ ปัจจุบันในยุคโควิด-19 Social Distancing นี้ถือเป็น หนึ่งใน New Normal หรือวิถีใหม่ ซึ่งใช้กันทั่วโลกด้วย
            มาตรการ Social Distancing มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อการติดเชื้อนั้นสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสฝอยละออง (การไอหรือการจาม), การติดต่อทางเพศสัมพันธ์, การสัมผัสทางกายภาพทางอ้อม (เช่น การสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อโรค) หรือโรคติดต่อทางเดินหายใจ  แต่อาจมีประสิทธิภาพน้อยลงในกรณีที่เป็นการติดเชื้อทางเดินอาหาร หรือ โรคติดต่อนำโดยแมลงหรือยุงเป็นพาหะ

แนวทาง Social Distancing มีอะไรบ้าง?
      ตัวอย่างของ Social Distancing คือ
1.   ยืน นั่ง ห่างกัน 1.5 – 2 เมตร
2.  งดรวมตัวกันในสถานที่ศึกษา ที่ทำงาน หรือสถานบันเทิงต่างๆ
3.  รับประทานอาหารที่เป็นชุดสำหรับคนเดียว หลีกเลี่ยงการร่วมสำรับกับผู้อื่น
4.  เปลี่ยนระบบทำธุรกิจ โดยใช้ทางออนไลน์ และติดต่อทางโทรศัพท์เป็นหลัก หรือปรับเวลามาทำงานให้ยืดหยุ่น
5.  หันมาเรียนออนไลน์แทนการเรียนในชั้นเรียน และหลีกเลี่ยงการจัดประชุมใหญ่ที่มีการรวมคนจำนวนมาก
6.  จองให้จองหนังสือออนไลน์ในห้องสมุด หรืออ่านแบบอิเคทรอนิกส์
7.  ลดความหนาแน่นในลิฟท์ เน้นการเดินขึ้นลงบันได
              อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย  มาตรการผ่อนปรนจากภาครัฐจะให้
หลายธุรกิจกลับมาดำเนินงานได้ แต่ต้องระวัง โดยเฉพาะ มาตรการ Social Distancing ที่มาปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอก 2 ต่อไป

ประวัติการใช้มาตรการ Social Distancing ที่ได้ผล

มาตรการ Social Distancing การเว้นระยะห่างทางสังคม ใช้ได้ผลมาแล้วในการรับมือไข้หวัดใหญ่สเปน ที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อมีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Influenza) ไปทั่วโลก ในปี ค.ศ. 1918 (.ศ. 2461) ครั้งนั้น ไข้หวัดใหญ่สเปน คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปกว่า 50 ล้านคน โดยในประเทศสหรัฐอเมริกา พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปนในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย รายแรก เมื่อวันที่ 17 กันยายน แต่ทางการเพิกเฉยต่อคำเตือนของการระบาด ทำให้เชื้อที่ระบาดอยู่ในกลุ่มทหารที่เพิ่งกลับมาจากยุโรป แพร่ไปยังผู้คนที่ออกมาร่วมฉลองพาเหรดสงครามโลกครั้งที่ 1 กว่า 2 หมื่นคน เพียง 3 วันหลังจากนั้น ทุกเตียงในโรงพยาบาลกว่า 31 แห่งเต็มไปด้วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปน และในปลายสัปดาห์เดียวกันมีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดมากถึง 4,500 ราย ในทางกลับกัน มาตรการ Social Distancing ได้นำมาใช้ในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์ Max C. Starkloff ในวันที่ 3 ตุลาคม หลังจากผู้ติดเชื้อรายแรกในเมืองฟิลาเดลเฟีย มากกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งตรงข้ามกับ เมืองฟิลาเดลเฟีย โดยเมืองเซนต์หลุยส์ที่พบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ใช้เวลาเพียง 2 วัน ในการนำมาตรการ Social Distancing มาใช้ในเมืองเมื่อเกิดการระบาด หรือพบผู้ติดเชื้อ และนำมาตรการมาใช้อย่างทันท่วงที มาตรการ Social Distancing ที่ใช้ในเวลานั้น คือ ปิดโรงเรียน โรงภาพยนตร์ และสถานที่ต่างๆที่มีการพบปะผู้คนจำนวนมาก งดจัดงานศพ ซึ่งมาตรการ Social Distancing อย่างเข้มข้นที่ใช้ในเมืองเซนหลุยส์ ใช้ได้ผล เมื่อเทียบกับเมืองฟิลาเดลเฟีย ทำให้อัตราผู้เสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหญ่น้อยกว่าที่ฟิลาเดลเฟีย มากแบบครึ่งต่อครึ่ง  อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตในเมืองเซนต์หลุยส์เพิ่มขึ้นเมื่อมีการระบาดระลอกที่ 2 แต่ยังคงน้อยกว่าเมืองอื่นๆ  จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จในครั้งนั้นขึ้นกับการตัดสินใจบังคับใช้มาตรการควบคุมการระบาดได้อย่างทันท่วงที
จะเห็นได้ว่า Social Distancing การเว้นระยะห่างทางสังคม มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และใช้มาตรการนี้อย่างได้ผลมากว่า 100 ปีที่ผ่านมา เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อและชะลอการแพร่ระบาดของโรค ป้องกันไม่ให้มีจำนวนผู้ป่วยมีจำนวนมากจนกว่าระบบสาธารณสุขจะรับมือได้ ที่สำคัญ ปัจจุบันจะได้ช่วยรอเวลาในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งมีหลายบริษัท และหลายประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย ด้วย    

แหล่งข้อมูล:
2.      https://med.mahidol.ac.th/Infographics                                                                                                                            

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

โรคร้ายที่มากับฤดูฝนที่ต้องเฝ้าระวัง

                 
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศว่า ในปีนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม และจะสิ้นสุดกลางเดือน ตุลาคม 2563 ดังนั้น พวกเราต้องเตรียมรับมือกับโรคติดต่อที่มากับฤดูฝนในช่วงดังกล่าว นอกจากโรคโควิด -19 ซึ่งเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ และระบาดไปทั่วโลก  ในฤดูฝนจะมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ มีความชื้นสูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิดสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว กลุ่มโรคติดต่อที่สำคัญที่มากับฤดูฝนเหล่านี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ หรือรักษาไม่ทัน อาจเสี่ยงมีอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเราควรเฝ้าระวัง และดูแลสุขภาพตนเองให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อเหล่านี้

กลุ่มโรคติดต่อที่มากับฤดูฝนที่ต้องเฝ้าระวัง มี 5 กลุ่ม ดังนี้
1.  กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ H1N1 ซึ่งเป็นโรคระบาดใหม่ [ที่เคยระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งแรก เมื่อปี 2552]  ที่ขณะนี้พบการระบาดทั่วประเทศ และโรคไข้หวัดนกที่มีแหล่งแพร่ระบาดมาจากสัตว์ปีก เชื้ออาจมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนที่อยู่ในช่วงระบาดในฤดูฝนได้
2.  กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ โรคเหล่านี้เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร ที่ลำไส้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาจมีไข้ ปวดบิดในท้อง และหากติดเชื้อบิดอาจมีมูกหรือเลือดปนอุจจาระได้ นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ และบี (Hepatitis A and B) ยังสามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ ผู้ที่มีอาการตับอักเสบจะมีไข้ อ่อนเพลีย มีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองหรือดีซ่าน คลื่นไส้อาเจียน 
3.  กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 4 โรค ได้แก่ 1. ไข้เลือดออก (Dengue) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค วางไข่ในน้ำที่ขังอยู่ตามที่ต่าง ๆ ผู้ป่วยระยะแรกจะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูกมาก ไข้จะสูงอยู่ประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นไข้จะลง พร้อมกับอาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติ มือเท้าเย็น หรือช็อคได้  2. โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (Chikungunya) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน ตาแดง มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคันร่วมด้วย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคือ อาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ 3. ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรคมักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนา ผู้ป่วยจะมีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน หลังจากนั้นจะมีอาการซึมลงหรือชักได้ ผู้ป่วยอาจเสียชีวิต หรือพิการหากไม่ได้รับการรักษา 4. โรคมาลาเรีย (Malaria) มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูงหนาวสั่น ซีดลง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ถ้าเป็นชนิดรุนแรงอาจมีอาการไตวาย ตับอักเสบ ปอดผิดปกติ และอาจมีความผิดปกติทางสมองที่เรียกว่า มาลาเรียขึ้นสมองได้
4.  กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อย คือ โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือไข้ฉี่หนู อาการที่สำคัญ คือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง ประมาณร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการรุนแรง เช่น ดีซ่าน ไตวาย หรือช็อคได้ โรคนี้มักเป็นเกิดในที่ที่มีน้ำท่วม ผู้ที่บ้านมีหนูมาก เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน คนงานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา ผู้ที่ทำงานขุดท่อระบายน้ำ เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น
5.   โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา  ส่งผลให้เกิดอาการตาแดง คันตา เคืองตา รวมถึงมีอาการปวดเบ้าตา โดยจะรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ภายดวงตา ทำให้เกิดน้ำตาไหล และเปลือกตาบวม  รวมถึงมีตุ่มขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป
นอกจากกลุ่มโรคติดต่อดังกล่าวแล้ว ในช่วงฤดูฝนต้องระวังอีก 2 เรื่องที่สำคัญ คือ
1.      โรคน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนาน ๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก
2.      อันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน
จะเห็นได้ว่าโรคที่มากับฤดูฝนนั้นมีมากมาย จึงต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ที่สำคัญ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นก็ไม่ควรซื้อยากินเอง และสิ่งที่ต้องระวัง คือ การรับประทานยาลดไข้ เช่น ห้ามกินยาในกลุ่มแอสไพรินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคฉี่หนู  ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น ทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ โรคที่มากับฤดูฝน เช่น ไข้หวัดใหญ่ และ ไข้เลือดออก อาจมีอาการใกล้เคียงกับโรคโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า ต้องสังเกตอาการตัวเองให้ดี อย่าตื่นตระหนก สำหรับกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน การป้องกันโรคไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ คือ สวมหน้ากากผ้า/อนามัย กินร้อน หรือ อาหารปรุงสุกใหม่ แยกสำรับอาหารและของใช้ส่วนตัว ห้ามนำมือสัมผ้สบริเวณหน้า ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด ส่วนวิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก คือ ทายากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใช้หลัก 3 เก็บ คือ เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บน้ำ

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

โรคอันตรายหน้าร้อน ที่ต้องระวัง มีอะไรบ้าง?




              นอกจาก โรคโควิด-19 ที่ทางกระทรวงสาธารณสุข ขอให้คนไทยการ์ดอย่าตก ป้องกันโควิดระบาดรอบสอง โดยต้อง ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม  กินร้อน ช้อนกลางส่วนตัว ล้างมือ แล้ว ช่วงนี้อากาศร้อนจัด พร้อมกับมีพายุฤดูร้อน ยังมีโรคอันตรายที่มากับหน้าร้อน ทั้งโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ ที่เราต้องเฝ้าระวังหลายโรค โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ เนื่องจากอากาศที่ร้อน ทำให้การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียเหมาะแก่การขยายพันธุ์ เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรคติดต่อดังกล่าว รวมทั้งอาหารยังบูดเสียได้ง่าย เราจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพมากขึ้น และรักษาความสะอาด โดยเน้นในเรื่องความสะอาดของอาหารและน้ำอุปโภคบริโภค รับประทานอาหารร้อนที่ปรุงสุกใหม่ๆ สำหรับโรคไม่ติดต่ออันตรายในหน้าร้อนทีสำคัญ คือ โรคลมแดด (Heat Stoke)                       

โรคอันตรายหน้าร้อนที่สำคัญ มีดังต่อไปนี้
1.      โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อนของสารพิษที่ผลิตจากเชื้อโรคเข้าไป สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไป สารพิษดังกล่าวมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนม ที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ อาหารที่ทําไว้ล่วงหน้านานๆ และไม่ได้รับการอุ่นร้อนก่อนรับประทาน อาการที่สําคัญของโรคอาหารเป็นพิษ ได้แก่ มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย และอาจมีถ่ายเหลวร่วมด้วย โรคอาหารเป็นพิษ อาจเกิดขึ้นกันพร้อมกันได้หลายคน โดยการกินอาหารปนเปื้อนชนิดเดียวกัน
2.      โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือ ดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ อาการสําคัญ คือ ถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ถ่ายเป็นน้ำจํานวนมาก หรือถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือดผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง อาจมีไข้หรืออาเจียนร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ จนอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก หมดสติ และเสียชีวิตได้
3.      โรคบิด (Dysentery) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรืออะบีมา โดยผ่านการรับประทานอาหาร ผักดิบ หรือน้ำดื่ม ที่มีเชื้อบิดปนเปื้อนเข้าไป อาการที่สําคัญ คือ มีไข้ปวดท้องแบบปวดเบ่ง ถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระมีมูก หรือมูกปนเลือด โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Shigellosis หรือบิดไม่มีตัว และ Amebiasis หรือบิดมีตัว
4.      โรคอหิวาตกโรค (Cholera) เกิดจากการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ําที่มีเชื้อแบคทีเรีย Vibrio cholerae ปนเปื้อน เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุกๆดิบๆ เชื้อโรคจะสร้างพิษออกมาทำปฎิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก อาการที่สําคัญ คือ ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำซาวข้าว คราวละมาก ๆ โดยไม่มีอาการปวดท้อง ผู้ป่วยจะอาเจียน กระหายน้ำ กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย ตาลึกโหล ปัสสาวะน้อย หากเสียน้ำมาก ผู้ป่วยอาจหมดสติและเสียชีวิตได้
5.      โรคไข้ไทฟอยด์หรือ โรคไข้รากสาดน้อย (Typhoid) เกิดจากการรับประทานอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์ และน้ำที่ปนเปื้อน เชื้อแบคทีเรีย Salmonella typhi จากอุจจาระหรือปัสสาวะของผู้ป่วย หรือผู้ที่เป็นพาหะโรคไทฟอยด์ อาการที่สําคัญ คือ มีไข้ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย เบื่ออาหาร ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องผูกหรือท้องเสียได้ผู้ป่วยและผู้ที่เป็นพาหะโรค ไข้ไทฟอยด์ควรหลีกเลี่ยงการประกอบอาหารให้ผู้อื่นรับประทาน เนื่องจากอาจทําให้เกิดการระบาดของโรคไข้ไทฟอยด์ได้
6.      โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่มักระบาดในช่วงหน้าร้อน มีสุนัข และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เป็นพาหะหลักที่นำเชื้อไวรัสมาสู่ โดยสัตว์ที่มีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนบริเวณที่มีแผล เมื่อคนได้รับเชื้อแล้ว จะมีอาการปรากฏภายใน 15 – 60 วัน บางรายอาจน้อยกว่า 10 วันหรือนานเป็นปี ผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า จะเสียชีวิตทุกราย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า รวมถึงนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี
7.      โรคลมแดด (Heat Stroke) เป็นโรคที่มักเกิดขี้นในหน้าร้อน เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เบื้องต้นอาจแสดงอาการตะคริวแดด (Heat Cramps) หรือมีอาการเพลียแดด (Heat exhaustion) เมื่อยล้า อ่อนเพลีย หน้ามืด ปวดศีรษะ เป็นลม หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีอาจทําให้หมดสติและ เสียชีวิตได้ หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด คือ การลดระดับความร้อนของร่างกายให้เร็วที่สุดก่อนนำส่งโรงพยาบาล ส่วนวิธีป้องกันโรคลมแดด คือ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6- 8 แก้ว ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ผ้าโปร่งสบาย ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด
     จะเห็นได้ว่า มาตรการในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเฉพาะ กินร้อน ช้อนกลางส่วนตัว ล้างมือบ่อยๆ การรักษาความสะอาด และสุขอนามัยของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และพยายามอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก จะสามารถป้องกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคอันตรายหน้าร้อนได้ในเวลาเดียวกัน

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Personal Protective Equipment (PPE) สำคัญอย่างไร? ในยุคโควิด-19


ในยุคโควิด-19 คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า ชุด PPE ซึ่งเราทราบว่าเป็นชุดที่แพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เมื่อสัมผัสคนไข้ หรือสิ่งส่งตรวจ ผู้เขียนได้ยินคำว่า PPE ใช้กันอย่างกว้างขวางในยุคนี้ ทำให้คิดถึงข้อสอบที่ออกให้ผู้เข้ารับการอบรมความปลอดภัยทางห้องปฏิบัติการตอบกัน ในฐานะอาจารย์ ว่า PPE ย่อมาจากอะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง แต่ปัจจุบัน ทุกคนคุ้นหูกับ คำว่า PPE และที่สำคัญ PPE ในยุคโควิด-19 เป็นความต้องการทั่วโลก  ผู้เขียนจะขออธิบายให้รู้จักชุด PPE มากยิ่งขึ้น ดังนี้
PPE คืออะไร?  มีความสำคัญอย่างไร? 
PPE ย่อมาจาก Personal Protective Equipment หรือ อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล หมายถึง อุปกรณ์สาหรับผู้ปฏิบัติงานในการสวมใส่ขณะทำงานเพื่อป้องกันอันตราย หรือ การติดเชื้อ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง และมีโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อได้ ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการใช้ PPE คือ ป้องกันการสัมผัสกับวัสดุติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย และป้องกันการแพร่กระจายการปนเปื้อน  
การเลือก PPE
            การเลือก PPE ต้องมีการประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มปฏิบัติงาน เพื่อให้เลือก PPE ได้อย่างเหมาะสม และถูกต้อง โดยการคำนึงถึง 1. ชนิดของสิ่งที่สัมผัส การเข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ติดต่อทางเดินหายใจ  2. ระยะเวลาในการปฎิบัติงาน เหมาะสมกับ PPE หรือไม่  3. การออกแบบเพื่อความปลอดภัยกับผู้สวมใส่ ไม่ขัดขวางการทำงาน นั่นคือ เลือก PPE ให้เหมาะสมกับงาน ความทนทาน กิจกรรมที่ปฏิบัติ ลักษณะของการสัมผัส ขนาดพอเหมาะกับผู้สวมใส่
            ที่สำคัญ PPE ต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล เช่น American National Standards Institute (ANSI) หรือ National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของ Occupational Safety and Health Administration (OSHA) เป็นต้น
PPE ประกอบด้วยอะไรบ้าง? 
PPE ที่บุคลากรทางการแพทย์สวมใส่ ประกอบด้วย
1.      เสื้อผ้าป้องกัน (Lab coat) ช่วยป้องกันผิวหนังและเสื้อผ้า ที่สำคัญต้องระมัดระวังในการถอดเสื้อผ้าป้องกัน เพื่อลดการฟุ้งกระจายของเชื้อโรค
2.      ถุงมือ (Gloves) ใช้เพื่อป้องกันมือเมื่อต้องสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วย ควรเปลี่ยนถุงมือทุกครั้งเมื่อมีการปนเปื้อน หรือเมื่อจำเป็น
3.      แว่นตานิรภัย/ แผ่นบังหน้า (Safety glasses/ Face shield) เป็นอุปกรณ์ป้องกันตาและใบหน้า ใช้ป้องกันการกระเด็นของเลือด สารคัดหลั่ง หรือสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วย สำหรับแผ่นบังหน้าควรสวมทับแว่นตานิรภัยหรือแว่นสายตา
4.      อุปกรณ์ป้องกันศรีษะ (Head protection) เช่น หมวก (Caps/Hoods) เป็นอุปกรณ์ป้องกันศรีษะและเส้นผม จากการปนเปื้อนของเชื้อโรค หรือเส้นผมปลิวพันกัน
5.      อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ 1. หน้ากากกรองอนุภาค เป็นหน้ากากที่ใช้ป้องกันอนุภาคหรือสารชีวภาพ เช่น หน้ากากกรองอนุภาคชนิด N95 (ซึ่งมีแผ่นกรองอากาศที่สามารถกรองอนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ถึง 95%) การสวมหน้ากากกรองอนุภาค ต้องทำการทดสอบว่าหน้ากากรั่วหรือไม่ โดยการเป่าลมหายใจออกและสูดลมหายใจเข้า เพื่อให้มั่นใจว่าหน้ากากไม่รั่ว  2.  อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจแบบหน้ากากส่งผ่านอากาศ (Powered air purifying respirator, PAPR) ใช้ในกรณีที่งานมีความเสี่ยงสูง
6.      อุปกรณ์ป้องกันเท้า ได้แก่ ถุงหุ้มรองเท้า (Shoes cover) ใช้เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าไปในห้องผู้ป่วย หรือห้องปฏิบัติการ หรือนำสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคออกนอกห้อง

นอกจากนี้ การสวมใส่ PPE และการถอด PPE จะมีขั้นตอนต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญที่อาจเป็นความเสี่ยงของการแพร่เชื้อโรคได้เช่นกัน  ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับการฝึก เพื่อความปลอดภัยและการควบคุมการแพร่ติดต่อของเชื้อโรค จะเห็นได้ว่า PPE เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญกับบุคลากรทางการแพทย์ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ภารกิจสำเร็จอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะยุคโควิด-19 ที่มีการระบาดโรคโควิด-19 ทั่วโลก ฉะนั้นไม่เพียงแต่การเลือกใช้ชนิดของ PPE ให้เหมาะสม และถูกต้องแล้ว การฝึกอบรมเตรียมความพร้อมในการใช้ PPE ควรทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เนื่องจาก โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ต่างๆ ก็มาเยือนโลกเราอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน