ในช่วงนี้ อากาศในประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศไว้ ดังนั้นเราต้องดูแลตนเองไม่ให้เจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมักมีการระบาดในฤดูหนาว
จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 24 ตุลาคม 2563 มีผู้ป่วยจำนวน 113,713 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 171.03 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 4 ราย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ปีย้อนหลัง
พบว่าจำนวนผู้ป่วยลดลง
เนื่องจากความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19
ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจเช่นเดียวกัน โดยการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง แยกของใช้ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ก็ยังระบาดหนัก ณ
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19
อยู่ที่ 49,093,464 คน และมียอดสะสมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,240,682
คน ขณะที่ไทยติดเชื้อสะสมที่ 3,818 คน แม้ว่าขณะนี้ผู้ติดเชื้อโควิด-19
จำนวนน้อยในไทย แต่ความรุนแรงและอัตราเสียชีวิตของโรคโควิด-19 มากกว่า
โรคไข้หวัดใหญ่ และอาการของ 2 โรคนี้จะคล้ายๆกัน ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวนี้ หลายคนพอเริ่มมีอาการเจ็บป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ อาจจะกังวลว่าเป็น ไข้หวัดใหญ่ หรือเป็น โควิด-19 กันแน่ ดังนั้น เรามาเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19
กันเลยค่ะ
เชื้อก่อโรค
ความเหมือน: เป็นไวรัสที่ก่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
ความแตกต่าง: โรคโควิด-1 เกิดจากเชื้อ โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ SAR-CoV-2 ส่วนไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อ อินฟูเอนซาไวรัส ส่วนโรค โควิด-19 เกิดจาก ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งทำให้มีอาการปอดอักเสบรุนแรงได้ โดยเป็นเชื้อไวรัสที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ นับเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ของไวรัสโคโรนาที่ติดต่อในมนุษย์
อาการป่วย
ความเหมือน: ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถแสดงอาการได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ
(asymptomatic)
จนถึงอาการรุนแรง (severe symptoms) สำหรับอาการทั่วไปที่พบได้ในทั้งสองโรค
คือ มีไข้ หรือรู้สึกหนาวสั่น ไอ หายใจถี่ หรือหายใจลำบาก เหนื่อยหรืออ่อนแรง
เจ็บคอ คัดจมูก ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ บางคนอาจมีการอาเจียน
และท้องเสีย แม้ว่าอาการนี้ปกติจะพบมากในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
ความแตกต่าง: ผู้ป่วยโรคโควิด-19 บางรายจะมีอาการรุนแรง และอาการสำคัญที่แตกต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่
คือ การเสียความรู้สีกในการรับรสและได้กลิ่น
จะใช้เวลานานแค่ไหนหลังจากติดเชื้อจึงปรากฏอาการ
ความเหมือน:
ทั้งโรคโควิด-19
และโรคไข้หวัดใหญ่ หลังจากติดเชื้อ 1 วันหรือมากกว่า สามารถแสดงอาการได้
ความแตกต่าง: ผู้ติดเชื้อโควิด-19
จะใช้เวลาที่จะแสดงอาการนานกว่าผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
โดยปกติผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะแสดงอาการหลังติดเชื้อ 1-4
วัน ส่วนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะแสดงอาการหลังติดเชื้อ 5 วัน แต่สามารถแสดงอาการได้เร็วเพียง
2 วันหลังติดเชื้อ หรือช้าถึง 14 วันหลังติดเชื้อ
ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อได้เมื่อไร
ความเหมือน:
ทั้งโรคโควิด-19
และโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นไปได้ว่าจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ อย่างน้อย 1
วันก่อนแสดงอาการ
ความแตกต่าง: ผู้ป่วยโรคโควิด-19
สามารถแพร่เชื้อได้นานกว่าผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้ประมาณ
1 วัน ก่อนแสดงอาการ นอกจากนี้ เด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
จะแพร่เชื้อระหว่าง 3-4 วันขณะป่วย
และยังคงแพร่เชื้อได้จนถึง 7 วัน ส่วนเด็กทารก และผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
จะติดเชื้อจากผู้ป่วยได้นานกว่า 7 วัน สำหรับโรคโควิด-19
นั้นยังทำการศึกษาวิจัยว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อได้นานเท่าไร
เป็นไปได้ว่าสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ประมาณ 2 วันก่อนแสดงอาการ
และยังคงแพร่เชื้อได้อย่างน้อย 10 วัน หลังแสดงอาการครั้งแรก ถ้าผู้ติดเชื้อโควิด-19
ไม่แสดงอาการ หรืออาการไม่ปรากฏแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า ยังสามารถแพร่เชื้อได้อย่างน้อย
10 วันหลังทดสอบว่ามีการติดเชื้อ โดวิด-19 ให้ผลบวก
เชื้อไวรัสสามารถติดต่อได้อย่างไร
ความเหมือน: ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากคนสู่คน
โดยการใกล้ชิดกัน (ระยะห่างภายใน 6 ฟุต) ส่วนใหญ่แพร่เชื้อโดย
ละออง ไอ จาม หรือการพูดคุย ของผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้สามารถติดต่อโดยการสัมผัสมือ (shaking
hands) ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ อาจจะแพร่ไปยังผู้อื่นได้
โดยจากผู้ติดเชื้อที่เพิ่งจะเริ่มแสดงอาการ หรือแสดงอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ (asymptomatic)
ความแตกต่าง: แม้ว่าโรคโควิด-19
และโรคไข้หวัดใหญ่ มีวิธีการติดต่อที่คล้ายกัน แต่ โรคโควิด-19
ติดต่อได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 สามารถเกิด superspreading คือทั้งติดต่อไวและติดต่อง่ายกับผู้คนจำนวนมาก ได้มากกว่าไข้หวัดใหญ่ด้วย
ซึ่งมีผลทำให้มีการแพร่กระจายของโรคไปได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรง
ความเหมือน:
ผู้ป่วยโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถมีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนได้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์
ความแตกต่าง: โรคไข้หวัดใหญ่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในเด็กที่มีสุขภาพดี จะสูงกว่า โรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ทารกและเด็กที่มีโรคประจำตัวมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 นอกจากนี้เด็กเล็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีความเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะแทรกซ้อนมากกว่าโรคโควิด-19 ส่วนเด็กวัยเรียนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะมีความเสี่ยงสูงที่จะมีกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก แต่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจะไม่ค่อยพบ
ภาวะแทรกซ้อน
ความเหมือน:
ทั้งโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ได้แก่ ปอดอักเสบ ปอดล้มเหลว น้ำท่วมปอด ติดเชื้อทางกระแสโลหิต
ไตวาย ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย โรคเรื้อรังแย่ลง เช่น
ปอด หัวใจ ระบบประสาท เบาหวาน มีการอักเสบของหัวใจ สมอง หรือกล้ามเนื้อ
และสามารถติดเชื้อแบคทีเรียภายหลังได้ง่ายขึ้น (secondary bacterial infections)
ความแตกต่าง: ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะฟื้นตัวขึ้นภายใน 3-4 วัน หรือน้อยกว่า 2 อาทิตย์ แต่บางรายจะเกิดมีภาวะแทรกซ้อนได้ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น สำหรับโรคโควิด-19 จะมีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม คือ เลือดแข็งตัวในเส้นเลือดดำ และเส้นเลือดแดงของปอด หัวใจ ขา และสมอง และ กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก
การรักษา
ความเหมือน: ผู้ป่วยโรคโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่มีความเสี่ยงสูง
หรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะได้รับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการและภาวะแทรกซ้อนนั้นๆ
ความแตกต่าง: ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคที่ชัดเจน
แต่แพทย์จะรักษา โควิด-19 ด้วยการใช้ยา ต้านไวรัส และยาอื่น ๆ หลายขนาน ทั้งยา remdesivir, chloroquine,
lopinavir+ritonavir, interferon ชนิดพ่น, losartan, แอนติบอดีชนิด monoclonal, พลาสมาจากผู้ป่วยที่หายจากโรคนี้
และล่าสุดมียาต้านโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019
จากจีนที่ชื่อว่า Favilavir โดยจากการทดลองรักษาผู้ป่วยโควิด-19
จำนวน 70 รายในประเทศจีน
พบว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ จะรักษาไปตามอาการ หากไข้สูงให้เช็ดตัวลดไข้
หรือรับประทานยาบรรเทาไข้ นอกจากมีอาการรุนแรง แพทย์จะทำการรักษาไปตามอาการแทรกซ้อนนั้นๆ อย่างไรก็ตามกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ที่รู้จักกันดีก็คือ
ยาโอเซลทามิเวียร์ หรือ ซานามิเวียร์
วัคซีน
ความเหมือน: วัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคโควิด-19 และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
ต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาในระดับนานาชาติ
และระดับประเทศเช่นกันจึงสามารถนำมาใช้ได้
ความแตกต่าง: วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่หลายบริษัท ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ได้มีการผลิตขึ้นทุกปี เพื่อป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 3-4 สายพันธุ์ ซึ่งระบาดขึ้นในแต่ละปี แต่สำหรับโรคโควิด-19 ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคโควิด-19 แต่ขณะนี้หลายๆประเทศกำลังพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แม้ประเทศไทยจะมีระบบคัดกรองและกักกันโรคที่ดี และสถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจาก ต่างประเทศ
แต่คนไทยยังต้องร่วมมือกันคงมาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะ DMHT ที่เป็นวัคซีนที่ดีที่สุด ได้แก่ D : Distancing การเว้นระยะห่าง M : Mask Wearing สวมหน้ากาก
H : Hand Washing การล้างมือ และ T
: Testing การตรวจคัดกรองและรักษาอย่างรวดเร็ว
จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 ได้
แหล่งข้อมูล:
1.
https://onlinelibrary.wiley.com/doi/epdf/10.1002/rmv.2179
2.
https://www.cdc.gov/flu/symptoms/flu-vs-covid19.htm
3.
https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/index.php
4.
https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/453872