วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2563

10 Q (Quotient) ความฉลาดที่เราต้องรู้จักในยุคโควิด


Q (Quotient) ที่เรารู้จักและคุ้นเคยมานาน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเคยวัดหรือทำแบบทดสอบ  (แบ่งเป็นด้านต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา ความคิดเชิงตรรกะ เป็นต้น) ก็คือ IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดทางปัญญา และ Q ตัวต่อมา คือ EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่ง 2-3 วันก่อนผู้เขียนได้ชมรายการโทรทัศน์ที่ได้พูดถึงอีก Q หนึ่ง คือ RQ (Resilience Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์และจิตใจในการปรับตัวและฟื้นตัวหลังเจอกับวิกฤตหรือเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิตเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราผ่านพันปัญหา อุปสรรคและมีการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ถ้าอยากให้ระดับ RQ เพิ่มขึ้นก็สามารถทำได้โดยใช้เทคนิค 4 ปรับ 3 เติม โดย 4 ปรับคือ ปรับอารมณ์ ปรับความคิด ปรับการกระทำ และปรับเป้าหมาย ส่วน 3 เติมคือ เติมศรัทธา เติมมิตร และเติมจิตใจให้กว้างขึ้น  เลยคิดว่าน่าสนใจโดยเฉพาะในยุคโควิด จึงไปค้นคว้าหาว่ามี Q อื่นๆ ที่มีความสำคัญอีกหรือไม่ มาให้ผู้อ่านได้ทราบด้วย และสามารถนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ ในยุคนี้

มารู้จักกับ 10 Q ต่อไปนี้ ว่าเรามีครบหรือไม่   
1.      ความฉลาดทางปัญญา (Intelligent Quotient, IQ) คือ ความสามารถด้านสติปัญญา การเรียนรู้ การคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ การเชื่อมโยง  IQ เป็นศักยภาพทางสมองที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก คือ พันธุกรรม ส่วนที่สามารถควบคุมได้ คือภาวะโภชนาการ สภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสม อย่างไรก็ตาม IQ มีผลต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตเพียง 20% เท่านั้น
2.      ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient, EQ) คือ ความสามารถในการรับรู้ การรู้จักควบคุมตนเอง เข้าใจอารมณ์ และควบคุมอารมณ์ เข้ากับคนอื่นง่าย เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ทำงานเป็นทีมได้ มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น มีจิตใจร่าเริง แจ่มใส  ความสามารถทางด้านอารมณ์และสังคมมีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพและมีชื่อเสียงมากกว่าความสามารถทางเชาวน์ปัญญาหรือ IQ ถึง 4 เท่า
3.      ความฉลาดในการแก้ปัญหา (Adversity Quotient, AQ) คือ การมีความอดทนในการเอาชนะอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวในการเผชิญปัญหาได้ดีมองปัญหาเป็นเรื่องท้าทาย
4.      ความฉลาดทางจริยธรรม ศีลธรรม (Moral Quotient, MQ) คือ มีความประพฤติดี รู้จักผิดชอบ ส่งผลต่อการควบคุมตนเองให้มีระเบียบวินัย รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ซื่อสัตย์ กตัญญู มีความรู้ผิดถูกสำนึกชั่วดี อ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะ ซึ่ง MQ สามารถฝึกฝนได้ แต่ค่อนข้างใช้เวลา หากได้รับการปลูกฝังที่ดีมาตั้งแต่เด็ก จะส่งผลไปในทางที่ดี ตอนโตเป็นผู้ใหญ่
5.      ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ (Health Quotient, HQ) คือ ความสามารถในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะถ้าร่างกายไม่แข็งแรง การพัฒนา IQ ด้านอื่นๆ คงไม่เกิดขึ้นได้ การดูแลสุขภาพที่ดีควรดูแลทั้งการออกกำลังกาย อาหาร สุขภาพใจ ไปพร้อมกัน รวมทั้งการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
6.      ความฉลาดจากการเล่น (Play Quotient, PQ) คือ การมีทักษะในการเล่น การวางแผน การเคลื่อนไหว การตัดสินใจ ความคิดสร่งสรรค์ การทำงานเป็นหมู่คณะ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
7.      ความฉลาดทางสังคม (Social Quotient, SQ) คือความสามารถในการเข้าสังคม มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ การเข้าร่วมสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส การวางตัว บุคลิกภาพในการเข้าสังคม การตรงต่อเวลา และมารยาททางสังคมด้วย SQ อาจมีความใกล้เคียงกับ EQ แต่ต่างกัน เพราะ SQ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการวางตัวในสังคม มีการแต่งตัว การพูดจา ส่วน EQ เป็นเรื่องของอารมณ์และมนุษยสัมพันธ์ไม่มีเรื่องของการแต่งตัว เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทั้งสองตัวนี้ก็เกื้อหนุนกัน เพราะหากเป็นคนที่ EQ และ SQ สูง ก็จะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่า
8.      ความฉลาดด้านการมองโลกแง่ดี (Optimist Quotient, OQ) คือ การมองโลกในแง่ดี ทำให้เป็นคนมีสุขภาพจิตดี เมื่อเกิดปัญหาไม่เครียดจนเกินไป ทำให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ ซึ่งต้องมีความมานะอดทน ช่วยในการเอาชนะ อุปสรรค คนที่มองโลกแง่ดีและมีความมานะอดทนจึงเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า ผู้มองโลกแง่ร้าย และไม่กล้าที่เผชิญปัญหา
9.      ความฉลาดทางจินตนาการ (Utopia Quotient, UQ) คือ ความสามารถในการสร้างสรรค์จินตนาการ รู้จักคิดฝัน (ทางบวก) สามารถสร้างสรรค์ผลงาน จนกลายเป็นแรงบันดาลใจกับงานใหม่ได้  คนที่มีจิตนาการจะเป็นบุคคลที่กล้าลองผิด ลองถูก และพร้อมจะเผชิญปัญหา แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้พลังด้านจินตนาการด้านลบ หรือในทางที่ผิด อาจกลายเป็นคนหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว ขาดการไตร่ตรอง ต่อต้านสังคมและคนรอบข้าง ยึดติดอยู่ในโลกแห่งความฝัน
10.   ความฉลาดในการคิด (Thinking Quotient, TQ) คือ มีความคิดที่ดีและมีคุณค่า ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ มีวิจารณญาณที่ดีและเหมาะสม รวมทั้งสามารถผสมผสานความคิดต่างๆ ออกมาได้ดีด้วย
หลังจากได้ทราบถึง 10 Q ความฉลาด ความสามารถทั้งสิบอย่าง เราลองพิจารณาว่าเรามีครบไหม และจะพัฒนาด้านไหนเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มศักยภาพของเรา โดยเฉพาะในยุคโควิดที่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านค่ะ

แหล่งข้อมูล:



วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Travel Bubble การท่องเที่ยวแนวใหม่ในยุคโควิด



              ในยุคโควิดนี้ เราคงได้ยินแต่คำว่า Lockdown หรือ การปิดประเทศ ปิดเมือง  ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้ในการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงการจำกัดการเดินทาง การยกเลิกกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ ไปจนถีงการกักตัวเองภายในบ้านพัก สำหรับการท่องเที่ยว คงไม่ต้องพูดถึง แต่หลังจากที่หลายๆประเทศ สามารถควบคุมและจัดการกับโควิดได้ แนวคิดในการเดินทางระหว่างประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ หรือระหว่างประเทศพันธมิตรซึ่งถือว่าประเทศนั้นๆ มีความปลอดภัย เพื่อฟื้นฟูธุรกิจการค้า ในชั้นต้น จึงเกิดขึ้น เรียกว่า Travel Bubble

Travel Bubble คืออะไร?
Travel Bubles หรือ Travel Bridges หรือ Corona Corridors คือ การที่กลุ่มประเทศ หรือประเทศพันธมิตรทางการท่องเที่ยวนั้นตกลงที่จะเปิดประเทศให้แก่กันและกัน เพื่อที่จะให้ผู้นั้นสามารถเดินทางไปในอีกประเทศหนึ่งได้ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน เปิดให้เฉพาะประเทศพันธมิตรเท่านั้น และประเทศพันธมิตรเหล่านี้สามารถเดินทางภายในกลุ่ม (Bubble) ได้ ซึ่งทาง Per Block นักวิจัยจาก Oxford ก็ได้เผยว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ “ทั้งสองประเทศนั้นจะต้องไม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเลย” รวมถึงจะต้องไม่อนุญาติประเทศอื่น ๆ เข้ามาอีกด้วย ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้คนสามารถเดินทางและกักตัวได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้นและยังปลอดภัย รวมถึงการทำ Travel Bubble นั้นอนุญาติให้คนแต่ละประเทศนั้นสามารถเดินทางได้ ซึ่งก็หมายความว่าการทำเช่นนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ประเทศที่เริ่มนำแนวคิดท่องเที่ยวแบบ Travel Bubble มาใช้
ประเทศที่เป็นผู้เริ่มสนใจแนวคิดนี้ คือประเทศ นิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลีย โดยทั้งสองเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กัน ไปมาหาสู่กันเป็นปกติอยู่แล้ว การเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า และทั้งสองประเทศสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ มาตรการ Travel Bubble ของออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์นั้น จะสามารถเดินทางไปมาหากันได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่จะต้องแสดงประวัติทางด้านสุขภาพของตนเองว่าไม่ป่วยด้วยโควิด-19 ซึ่งนี่เป็นเพียงการเตรียมการเบื้องต้น เพราะจะใช้จริงในเดือนกันยายน นอกจากนี้ ยังมีหลายกลุ่มประเทศที่จะร่วมมือกัน เช่น
1.      จีน-สิงคโปร์ โดยจะเริ่มในวันที่ 8 มิถุนายน 2563 นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายการเดินทางแบบค่อยเป็นค่อยไป และเพื่อฟื้นฟูการค้า และผู้ที่เดินทางของทั้งสองฝ่ายจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักกันตัว 14 วัน แต่ต้องยอมที่จะเข้ารับการทดสอบซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง และหากพบว่ามีการติดเชื้อเมื่อลงเครื่องที่สิงคโปร์หรือจีน ก็จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเองเช่นกัน โดย สิงคโปร์จะเริ่มต้นกับกลุ่มธุรกิจ 6 เมืองในจีน คือ เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ฉงชิ่ง กว่างตง เจียงซู และเจ้อเจียง
2.      ประเทศในกลุ่มทะเลบอลติก: เอสโตเนีย แลตเวีย และลิทัวเนีย เดินทางได้โดยไม่กักตัว
3.      ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย: เดนมาร์ก เยอรมนี นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ยกเว้นสวีเดนที่ยังเกิดการระบาดอยู่ (เริ่ม 15 มิ.ย.63)
4.      เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ (เริ่ม 15 มิ.ย.63)
5.      แคนาดา สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน เวียดนาม และเกาหลีใต้
6.      จีน-เกาหลีใต้, จีน-ไต้หวัน, จีน-ฮ่องกง, จีน-มาเก๊า
7.      สาธารณรัฐเชค ออสเตรีย สโลวาเกีย โครเอเชีย 

แนวโน้มที่ไทยจะใช้ Travel Bubble
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถือว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย และขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในการผ่อนปรนมาตราการระยะที่ 3 ให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงกลับมาเปิดบริการได้ (เริ่ม 1 มิ.ย.63) แสดงถึง ไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าได้ดี และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การผ่อนปรนระยะที่ 4 (ให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเปิดบริการได้) ในระยะต่อมา จากการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นผู้ติดเชื้อที่เข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้น การทำ Travel Bubble ของไทยจึงอยู่ในขั้นตอนการหารือ คาดว่าจะเริ่มได้ในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ เราสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่าลืมป้องกันตัวเองตามชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ด้วยนะคะ

      แหล่งข้อมูล:

      2. https://www.wonderfulpackage.com/article/v/1306/
      3. https://www.thebangkokinsight.com/371976/

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563

มารู้จักโรคติดเชื้ออุบัติใหม่กันเถอะ









ในรอบ 10-20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีการระบาดของโรคติดเชื้อใหม่ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอและได้คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคไข้ซิก้า โรคซาร์  โรคเมอร์ส  โรคอีโบล่า และล่าสุดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ที่ได้มีการระบาดขึ้น เมื่อปลายปี 2019 และมีการแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนถึงวันนี้ (2 มิ.ย. 63) มีผู้ติดเชื้อไปแล้วประมาณ 6.3 ล้านคน และเสียชีวิตประมาณ 3.7 แสนคน โรคระบาดที่อันตรายและน่ากลัวเหล่านี้ เรียกว่า โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (Emerging infectious diseases) หรือ โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ (Re-emerging infectious diseases) มาดูกันว่า โรคอุบัติใหม่คืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง

โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ คืออะไร

ตามคำนิยามขององค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (Emerging Infectious Diseases หรือ EID) หมายถึง โรคติดต่อจากเชื้อชนิดใหม่ ๆ ที่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา หรือโรคติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งรวมไปถึงโรคที่เกิดขึ้นใหม่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือโรคที่เพิ่งจะมีการแพร่ระบาดเข้าไปสู่อีกพื้นที่หนึ่ง และยังรวมถึงโรคติดเชื้อที่เคยควบคุมได้ด้วยยาปฏิชีวนะแต่ปัจจุบันเชื้อเกิดการดื้อยาแล้ว โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม คือ
1.      โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อใหม่ (new infectious diseases) เช่น ซาร์ส ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 2009
2.      โรคติดต่อที่พบในพื้นที่ใหม่ (new geographical areas) เป็นโรคที่มาจากประเทศหนึ่งระบาดไปยังอีกประเทศหนึ่ง หรือข้ามทวีป เช่น โรคเวสต์ไนล์ไวรัส
3.      โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ (re-emerging infectious diseases) คือ โรคติดต่อที่เคยระบาดในอดีต และสงบไปนานแล้ว แต่กลับมาระบาดอีก เช่น ไข้ชิคุนกุนยา
4.      เชื้อโรคดื้อยา (antimicrobial resistant organism) เช่น วัณโรคดื้อยา โรคมาลาเรีย
5.      อาวุธชีวภาพ (deliberate use of bio-weapons) คือ การใช้เชื้อโรคหลายชนิดผลิตเป็นอาวุธ เช่น เชื้อแอนแทรกซ์   ไข้ทรพิษ
นอกจากนี้ สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Institute of Allergy and Infectious Disease, NIAID) ได้แบ่งโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.      โรคที่ค้นพบใหม่ใน 20 ปีที่ผ่านมา เช่น ไวรัสตับอักเสบ ซี
2.      โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ
3.      โรคที่นำไปใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ ซึ่ง ในกลุ่มนี้ ศูนย์ควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา (Center of Disease Control, CDC) ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อย อีก 3 กลุ่ม คือ CDC-Category A, B, และ C เรียงตามเชื้อโรคที่ทำให้มีการเสียชีวิตจากมากไปน้อยตามลำดับ 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ มีดังต่อไปนี้ 
        1.   ยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) เป็นโลกไร้พรมแดน จึงมีการติดต่อ ท่องเที่ยว ค้าขายกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งลักลอบฆ่าสัตว์ต่างๆ เคลื่อนย้ายสัตว์ป่า มีการย้ายถิ่นฐานข้ามพรมแดน
          2.  การเปลี่ยนแปลงในวิถีการดำรงชีวิต และพฤติกรรม (Human demographic and behavior) เช่น การรับประทานอาหารสุกดิบ อาหารกระป๋อง การที่พ่อแม่ออกไปทำงานนอกบ้านและต้องนำลูกไปฝากเลี้ยง ทำให้เด็กอยู่ด้วยกันเป็นหมู่มากอาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงและโรคติดเชื้อระบบหายใจได้ง่าย 
          3.  การพัฒนาเศรษฐกิจ และการใช้พื้นที่ (Economic development and land use) เช่น การสร้างเขื่อน ตัดไม้ทำลายป่า การสร้างตึก
          4.  เชื้อจุลชีพเปลี่ยนแปลงเพื่อหนีภูมิคุ้มกัน (Microbial adaptation and change) เช่น เชื้อเอชไอวี ไวรัสไข้หวัดใหญ่
          5.  การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate change) สภาวะโลกร้อน ยุงเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและแพร่โรคได้ง่าย
          6.  การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ (Changing ecosystems) เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ทำให้โรคฉี่หนูระบาดมากขึ้น
          7.  กลุ่มเปราะบาง (Human vulnerability) เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุมากขึ้น   เด็กติดเชื้อง่ายขึ้น หรือ กลุ่ม ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ (immunocompromised host) และขาดอาหาร  (malnutrition)
          8.  สงครามหรือความอดอยาก (War and famine) รวมถึงการก่อการร้ายสากล การใช้อาวุธชีวภาพ 

                จะเห็นได้ว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดต่ออุบัติใหม่ มีมากมายที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้ และโรคอุบัติใหม่หลายๆโรค เป็นโรค zoonosis คือ โรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น ไข้หวัดนก โรคฉี่หนู เป็นต้น ดังนั้น การดูแลสุขภาพคน สุขภาพสัตว์ และสิ่งแวดล้อม จึงมีความสำคัญ ต้องดูแลไปพร้อมๆกัน ตรงกับ concept ความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานด้านสุขภาพสัตว์ สุขภาพคน ภายใต้หลักการ “One World One Health” โดย องค์การอนามัยโลก องค์การระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ นอกจากนี้  โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ มีผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ในระดับโลก โดยเฉพาะการะบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราต้องปรับตัวและมีชีวิตวิถีใหม่ (New normal) เพื่อความอยู่รอด และต้องร่วมมือช่วยกันแก้ไข ป้องกัน ในทุกๆด้าน ไม่เพียงแต่ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขในด้านการพัฒนาวัคซีน และยา เท่านั้น

แหล่งข้อมูล: